มวยภายใน
  • หน้าแรก
  • วิทยายุทธ์จีน
    • ไท่จี๋เฉวียน (มวยไท่เก๊ก)
    • สิงอี้เฉวียน-ซินอี้เฉวียน
    • ปากว้าจ่าง
    • วิทยายุทธ์อื่นๆ
    • เรื่องทั่วไปในวิทยายุทธ์
  • ภูมิปัญญาโบราณ
    • ชี่และวิชาชี่กง
    • สุขภาพแบบแพทย์จีน
  • Xiaochen’s blog
  • Gallery
  • เกี่ยวกับเรา
    • สำนักเซี่ยวเฉิน
    • อาจารย์เหลียง
    • ครูเก๋
      • Testimonials
  • หน้าแรก
  • วิทยายุทธ์จีน
    • ไท่จี๋เฉวียน (มวยไท่เก๊ก)
    • สิงอี้เฉวียน-ซินอี้เฉวียน
    • ปากว้าจ่าง
    • วิทยายุทธ์อื่นๆ
    • เรื่องทั่วไปในวิทยายุทธ์
  • ภูมิปัญญาโบราณ
    • ชี่และวิชาชี่กง
    • สุขภาพแบบแพทย์จีน
  • Xiaochen’s blog
  • Gallery
  • เกี่ยวกับเรา
    • สำนักเซี่ยวเฉิน
    • อาจารย์เหลียง
    • ครูเก๋
      • Testimonials
มวยภายใน > เนื้อหา > วิทยายุทธ์จีน > ไท่จี๋เฉวียน (มวยไท่เก๊ก) > ใช้แรงจมเป็นหลัก ไม่ใช่ตั้งใจผลักไปข้างหน้า

ใช้แรงจมเป็นหลัก ไม่ใช่ตั้งใจผลักไปข้างหน้า

  • 02/08/2017
  • Posted by: Liang
  • Category: ไท่จี๋เฉวียน (มวยไท่เก๊ก)
ไม่มีความเห็น

บทความนี้แปลจากบทหนึ่งจากหนังสือ “การถ่ายทอดจริงแท้ของหลักเหตุผลมวยไท่จี๋” (ไท่จี๋เฉวียนหลี่ฉวนเจิน) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1986 เขียนโดย จางยี่จิ่ง จางหงจั้ว ศิษย์ของอาจารย์หลีหย่าเซวียน เนื้อหาประกอบด้วยหลักวิชามวยไท่จี๋ของอาจารย์หลีหย่าเซวียน ถือเป็นหนังสือวิพากษ์หลักวิชามวยไท่จี๋ที่ดีมากที่สุดเล่มหนึ่งที่เคยมีมา หลักวิชาถูกต้อง จริงแท้ และได้รับการถ่ายทอดตรงจากครูมวยรุ่นใหญ่ของตระกูลหยางอย่าง อ.หลีหย่าเซวียน ซึ่งเรียนมวยกับ อ.หยางเจี้ยนโหว และกราบ อ.หยางเฉิงฝู่เป็นอาจารย์ เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้จึงสามารถใช้เป็นหลักอ้างอิงวิชามวยไท่จี๋ตระกูลหยางได้เป็นอย่างดี


ใช้แรงจมเป็นหลัก ไม่ใช่ตั้งใจผลักไปข้างหน้า

ร่างกายพวกเรามีข้อต่อมากมาย ก็เพื่อให้เราเกิดมาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ คนทั่วไปล้วนแต่สามารถใช้พวกมันได้อย่างถูกต้อง แต่ก็มีแต่คนฝึกมวย (อู่ซู่) เท่านั้นที่สามารถดึงเอาความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่างสมบูรณ์ แม้วิชามวยมีมาก เป็นร้อยเป็นพัน แต่แท้จริงแล้วล้วนแต่ฝึกฝนวิธีใช้ข้อต่อที่แตกต่างกันเท่านั้น

คุณค่าของข้อต่อก็คือความเคลื่อนไหวได้ ยิ่งเคลื่อนไหวได้มาก ก็ยิ่งทำให้เราสามารถใช้งานได้มาก แต่ (ในพวกฝึกมวย) มีเรื่องแปลกประหลาดคือ ข้อต่อบนมือ (แขน) นั้นสามารถให้เคลื่อนไหว “อิสระ” ได้เต็มที่ ทั้งยังกลัวว่าพวกมันไม่เคลื่อนไหวพอ จึงต้องครุ่นคิดหาวิธีฝึกฝน เพื่อเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวของพวกมัน แต่กับข้อต่อบนเท้า (ขา) พวกเขากลับไปพยายามจำกัดมัน กลัวว่าพวกมันจะเคลื่อนไหว “อิสระ” เกินไป

ในบรรดางานเขียนของนักมวยไท่จี๋มีหลายคนที่พิจารณาการรำมวยหนึ่งรอบ ต้องมีแค่ให้รำในระดับความสูงต่ำระดับเดียวกัน ไม่สามารถเดี๋ยวขึ้นสูงเดี๋ยวลงต่ำได้ นี่จึงทำให้สามข้อต่อใหญ่ของขาได้แต่เคลื่อนไหวอยู่ในสภาวะที่ไม่ธรรมชาติอย่างที่สุด ทำให้พวกมันไม่สามารถแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ได้ การฝึกอย่างนี้ง่ายที่จะพัฒนากำลังแข็งแกร่งของขาและเท้าได้ แต่แน่นอนว่าไม่สามารถฝึกสภาพยืดหยุ่นตามธรรมชาติออกมา เวลาฟาจิ้งก็ได้แต่ใช้ขาหลังถีบไปข้างหน้า ต้องตั้งใจทำออกมา ทำให้การเคลื่อนไหวความเร็วไม่พอ ผลออกมาก็ยากที่จะเป็นที่พอใจได้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ฝึกอย่างนี้ ยังเอางานเขียนบางฉบับมาใช้อ้างอิงทฤษฎีการฝึกแบบนี้ ฝึกกันจนกลายเป็นความเคยชิน จนไม่รู้สึกว่ามีปัญหา กล่าวอย่างถ่องแท้แล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่คนส่วนมากเรียนมาหลายปีแต่กลับไม่สามารถฟาจิ้งหรือฟาจิ้งแต่กลับได้ผลไม่น่าพอใจนั่นเอง

พวกที่คิดว่าต้องรำมวยด้วยระดับสูงต่ำเดียวตลอดนั้น ส่วนใหญ่คือคิดว่า : มีแค่วิธีอย่างนี้ ศูนย์ถ่วงถึงจะไม่ลอยขึ้นมา ดีต่อการจมชี่ลงตันเถียน ทำให้ฐานมั่นคง หรือไม่ก็เชื่อว่านี่คือคนฝึกกงฟู ก่อนจะได้กงฟูย่อมสมควรต้องทนกับความยากลำบาก เพื่อเสริมสร้างความอึดอดทน ต่างๆ

แต่แท้จริงพึงรู้ว่าชี่จมตันเถียนนั้นคือต้องเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ไปกดไว้แบบตายๆ และการที่ฐานมั่นคงนั้น ก็คือมั่นคงแบบคล่องแคล่วเปลี่ยนแปลง คือทั่วร่างผ่อนคลาย ความมั่นคงมาจากศูนย์ถ่วงที่จมลงอย่างธรรมชาติ ไม่ใช่มั่นคงโดยไปกดตายไว้ หากว่าเอาการกดไปแสวงหาจม หาความมั่นคง นี่ย่อมทำให้ร่างกายส่วนล่างสูญเสียสภาพยืดหยุ่นดีดสะท้อน (ถานซิ่ง) ไป วิธีคิดดังว่านี้จึงล้วนแต่เป็นการคิดเองเออเองขึ้นมาทั้งสิ้น ความเข้าใจก็ล้วนแต่ตื้นแค่ผิว

ข้อต่อนั้นประโยชน์ของมันคือความคล่องแคล่ว บนขาจึงจำเป็นต้องมีข้อต่อหลายชิ้น ก็เพื่อให้เรามีความสะดวกในการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วอิสระ ซึ่งไม่รู้ต้องใช้เวลายาวนานกี่หมื่นปีในการวิวัฒนาการขึ้นมา นี่คือศักยภาพที่ฟ้าประทานให้มนุษย์เรา เป็นสิ่งที่ควรได้รับซึ่งความภาคภูมิใจ มีเหตุผลที่ไหนกลับไปตั้งใจจำกัดคุณสมบัติแห่งความคล่องแคล่วของมันไว้ มีแค่กดไว้เพื่อให้เคลื่อนไหวในแนวขวาง (แนวนอน) ได้โดยไม่ยอมให้แนวบนล่างสามารถมีความเคลื่อนไหวยืดหยุ่นได้? ช่วยไม่ได้ที่คนทั่วไปไม่ค่อยชอบใช้สมองขบคิด มีแต่พูดเออออตามคนไปอื่นไปเรื่อย ยังเชื่อว่านี่คือ “ความลับถ่ายทอด” เสียอีก และถึงแม้ว่านี่คือการถ่ายทอด แต่ควรรู้ว่าคนรุ่นก่อนก็เหมือนพวกเราที่สามารถมีเวลาที่ผิดพลาดได้สำคัญคือพวกเราต้องทำให้ “ความลับถ่ายทอด” เหล่านี้มีความผิดพลาดที่น้อยลงไปเหลือไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง

คัมภีร์มวยคือหลักการฝึกมวยที่ทุกคนต่างยึดถือ คือการรวบรวมประสบการณ์ของครูมวยชื่อดังแต่เก่าก่อน พวกเราฝึกมวยได้ไม่ดีเหตุผลหนึ่งก็คือ ไม่ได้นำเหตุผลจากคัมภีร์มวยมาฝึกฝนในเชิงปฏิบัติอย่างจริงจัง หรือไม่ก็เข้าใจเหตุผลบางอย่างผิดเพี้ยนไป

สำหรับการรำมวยหนึ่งรอบต้องมีเพียงแค่ระดับความสูงต่ำระดับเดียวกัน โดยไม่สามารถสูงขึ้นหรือต่ำลงได้นั้น กฎเกณฑ์ข้อที่ว่านี้หาได้มีปรากฏในคัมภีร์มวยไม่ หากว่าเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นจริงๆ คงเขียนไว้ในคัมภีร์มวยตั้งแต่แรกแล้ว แต่เนื่องจากคัมภีร์มวยไม่มีเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นการมโนขึ้นมาของใครคนไหนหรือมาจากหลักมวยของตระกูลไหนยัดเยียดใส่มวยไท่จี๋เข้าไปแล้ว

ซึ่ง “กฎเกณฑ์” ข้อนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยคุณลักษณะที่ทำให้คนหลงใหล เนื่องจากหากพิจารณาจากฉากหน้า มันช่างดู “เข้มงวด” ทั้งยังเต็มเปี่ยมด้วย “เหตุผล” ดังนั้นจึงได้รับการชื่นชอบจากคนจำนวนมาก จนกลายเป็น “หลักมวย” ที่ไม่ได้เขียนบันทึกไว้ไปเสียอย่างนั้น

มวยไท่จี๋คือ “ลักษณะกลม” คือมีลักษณะสามมิติ ไม่ว่าจากทิศทางไหน ก็ล้วนแต่สามารถเคลื่อนเป็นรูปโค้งได้ เคลื่อนหมุนอิสระได้ แต่หากรำมวยโดยมีระดับความสูงต่ำระดับเดียวโดยไม่สามารถเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ อย่างนี้ก็ย่อมทำให้เส้นทางการเคลื่อนไหวของเอว-คว่า (สะโพก) ถูกจำกัดไว้ด้วยแนวราบ อย่างนี้ไม่ใช่การวาดคุกขังตัวเองหรือ? (เป็นสำนวน หมายถึงการสร้างข้อจำกัดกักขังตัวเอง) อย่างนี้ก็ย่อมเป็นการขัดต่อลักษณะกลมของมวยไท่จี๋แล้ว กลายเป็นขัดกับหลักมวยไป และยังขัดต่อหลักความเป็นธรรมชาติของมวยไท่จี๋อีกด้วย

คัมภีร์มวยกล่าวว่า “เมื่อเคลื่อน ทั่วร่างทั้งหมดต้องเบาคล่อง” แต่หากรำมวยมีแค่สูงต่ำระดับเดียว พื้นที่การยืดขึ้นหดลงในทิศบนล่างล้วนแต่ไม่มี อย่างนี้ความยืดหยุ่นดีดสะท้อน (ถานซิ่ง) ก็ล้วนแต่สูญสลายไปหมดแล้ว แล้วยังจะเบาคล่องได้ยังไง? มวยไท่จี๋นั้นอาศัยความว่างเปล่าและเปลี่ยนแปลงไร้ขอบเขตถือเป็นขั้นสูงสุด แล้วจะมีการที่ตัวเองไปจำกัดความอิสระในการเคลื่อนไหวของตัวเองได้อย่างไร? นอกจากนี้ยังมีคนพบว่าการรำมวยโดยจำกัดแค่ความสูงระดับเดียวนั้น มีคนไม่น้อยที่เกิดการบาดเจ็บหัวเข่าในหลายระดับ นี่ก็คือโทษจากการฝืนหลักผ่อนคลายตามหลักธรรมชาติล่ะ!

คนควรคล่องแคล่ว มวยยิ่งควรคล่องแคล่ว แต่นั่นล้วนแต่ต้องพึ่งข้อต่อที่คล่องแคล่วถึงจะทำได้ มีที่ไหนที่ข้อต่อไม่คล่องแคล่วแต่มวยคล่องแคล่วได้!!

แปลกที่ครูมวยบางคนในสมัยนี้ ยังนำเอา “หลักมวย” ที่ไม่มีอยู่ในคัมภีร์มวยข้อนี้มายึดถือเป็นทักษะเฝ้าบ้าน (หมายถึงเป็นทักษะสำคัญ) แถมยังทำทีเป็นว่าไม่ยอมสอนให้คนง่ายๆ ทั้งยังทำเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นการแสดงแค่ว่าพวกเขาอ่านคัมภีร์มวยไม่พอ เรียนมวยไม่ใช้สมอง ใครพูดอะไรมาก็พูดตาม

ตามการถ่ายทอดมวยไท่จี๋ตระกูลหยางของ อ.หลีหย่าเซวียนนั้น การฝึกท่ามวยมีทั้งยกขึ้นจมลง เมื่อเริ่มเรียนนั้น ระดับองศาของการยกจมนั้นใหญ่มาก เมื่อกงฟูลึกแล้วสามารถเล็กลงหน่อย สรุปว่า มวยหนึ่งรอบล้วนแต่อาศัยการยกขึ้นจมลงฝึกออกมา ในแต่ละท่านั้น ครึ่งแรกคือยกขึ้น (หายใจเข้า) ครึ่งหลังคือจมลง (หายใจออก) ไม่เพียงแต่ร่างกายจมลง แต่ยังต้องให้เน่ยชี่ (ชี่ภายใน) จมลงตันเถียน โดยชักนำพวกมันจมลงอย่างเป็นธรรมชาติ ในเวลาที่จมลงก็เปิดหว่างขา (หรือเรียกว่า หยวนตาง – โค้งหว่างขา) จิ้งจมถึงฝ่าเท้า ฝ่าเท้าและพื้นดินสัมผัสกันอย่างแยกไม่ออก นั่นคือจิ้งและพื้นดินทะลวงถึงกัน อย่างนี้ถึงจะฝึกกงฟูออกมาได้ สามารถเบาคล่องอย่างเป็นธรรมชาติ เวลาฟาจิ้งนั้น สภาพดีดสะท้อน (ถานซิ่ง) ของ ขา เท้า จะมีพลังมาก ทั้งเร็วทั้งดุดัน มีผลอันสะอาดหมดจด พลังหากเปรียบกับแบบก่อนหน้าข้างต้น (หมายถึงแบบที่รักษาระดับสูงต่ำระดับเดียว) จักมากมายกว่ามาก คู่ต่อสู้ก็ต้านทานได้ยากมาก มีความพิศดารที่ “ฟาจิ้งโดยคนไม่รู้ตัว” ได้ คนถูกตีจักมีความหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนตกหน้าผาอย่างนั้น

การใช้ขาหลังถีบไปข้างหน้าแบบก่อนหน้านี้ (หมายถึงแบบที่รักษาระดับสูงต่ำระดับเดียว ซึ่งมักจะกดแรงไว้ และให้ขาหลังถีบแรงไปข้างหน้า) คือแรงขวาง (เหิงลี่ – หมายถึงแรงมิติเดียว) ซึ่งเป็นการตั้งใจทำออกมา ห่างจากวิถีของธรรมชาติไปไกล อย่างหลัง (คือวิธีที่รำมีสูงต่ำ ปล่อยให้ขึ้นลงตามธรรมชาติ มีขึ้นมีจม) คือการฟาจิ้งโดยการจมลง คือแรงตรงที่เกิดถานลี่ (แรงดีดสะท้อน) ขึ้น หรือเรียกว่า “ฝ่านจั้วลี่” แค่ขยับขับเคลื่อนความคิด ก็สามารถเคลื่อนไหวฟาจิ้งด้วยการจมลงได้ เร็วไวอย่างที่สุด ธรรมชาติอย่างที่สุด มวยไท่จี๋คือใช้ธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์ นี่ถึงจะเป็นความจริงแท้ของการฟาจิ้งของมวยไท่จี๋ล่ะ!!

อ.หลีหย่าเซวียน

หากใช้ท่าโลวซีอ้าวปู้ (ไทยแปลเป็น ปัดเข่ายั้งก้าว อะไรงั้นมังครับ) เป็นตัวอย่าง คนส่วนใหญ่ล้วนแต่ใช้เท้าหลัง (ขาหลัง) ถีบไปข้างหน้าเพื่อเป็นยืนคันธนู เนื่องจากตามวิธีคิดทั่วไปและกระบวนการคิดคิดเองเออเองนั้น ล้วนแต่คิดได้ว่า มีแค่ใช้เท้าหลังถีบไปข้างหน้าจึงจะสามารถกลายเป็นท่ายืนคันธนูได้ ซึ่งนี่คือแรงขวาง (หมายถึงแรงที่เคลื่อนแนวขวางขนานกับพื้นเท่านั้น ไม่มีมิติอื่นๆ) แต่ว่ามวยไท่จี๋นั้นไม่ใช่วิธีคิดทั่วไป ยังต้อง “ทิ้งความเคยชินในการใช้แรงปกติ” เพื่อเรียนการเปิดหว่างขาเคลื่อนไปสู่ยืนคันธนูด้วยการจมลงล่างอย่างธรรมชาติ การจมลงคือแรงดิ่ง (หมายถึงแรงในแนวตั้งตรง) มีแค่อย่างนี้ จึงจะทำให้สองเท้าสามารถฝึกแรงดีดสะท้อน (ถานลี่) ขึ้นมาได้

เคยมีคนบอกฉันว่า การเคลื่อนไปยังกงปู้ (ยืนคันธนู) คือการที่ถีบไปข้างหน้าโดยแฝงแรงจม (เฉินจิ้ง) แต่บางทีก็บอกว่าคือใช้แรงจมมาเกิดแรงถีบ ทำเอาสับสนวุ่นวายไปหมด ฉันถามไปหลายครั้ง ว่าตกลงแล้วคือใช้การถีบเป็นหลัก? หรือใช้การจมเป็นหลัก? เขาครั้งนึงบอกว่าใช้การถีบเป็นหลัก ในถีบค่อยมีจม แต่อีกครั้งเขากลับบอกว่าใช้การจมเป็นหลัก ในจมค่อยมีถีบ ก่อนหลังขัดแย้ง พูดก็เหมือนไม่ได้พูด ฉันก็ค่อยรู้ว่า เขาก็ไม่รู้เรื่องพอๆ กับฉันนั่นแหละ…

ฉันจึงเขียนจดหมายถึง อ.หลีหย่าเซวียน ท่านตอบจดหมายกลับมาว่า “เธอถามอะไรกันเนี่ย? ในถีบมีจม ในจมมีถีบ มั่ววุ่นวายไปหมด อย่างนี้มาหาฉันเลยดีกว่า!!”

ฉันไปถึงบ้านของท่าน ทางหนึ่งทำท่าโลวซีอ้าวปู้ (ปัดเข่ายั้งก้าว) ทางหนึ่งก็ถามว่า “ตกลงแล้วจะทำท่ายืนคันธนู (กงปู้) ต้องใช้แรงจมเป็นหลัก หรือคือใช้การถีบไปข้างหน้าเป็นหลัก?”

ท่านมองและยิ้มอย่างเมตตากล่าวว่า “ที่แท้เธอยังไม่เข้าใจนี่เอง ยากจะโทษว่าทำไมกงฟูเธอถึงยังไม่ดีพอเสียที” ท่านก็ใช้มือหนึ่งกดมาที่ท้องของฉัน มือหนึ่งกดไปที่เอวด้านหลัง ทำการเคลื่อนไหวให้เกิดการจมลงล่างที่ชักนำให้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น

“อย่างนี้มิใช่เป็นคันธนูแล้วเหรอ!” จากนั้นท่านก็ทำการเคลื่อนไหวกลับไปกลับมาให้ฉันดูอีกสองครั้ง จนสุดท้ายก็เข้าใจแล้ว

นับจากเรียนมวยจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านไป 13 ปีแล้ว 13 ปีที่ผ่านมาของฉันมีแค่ฝึกสองมือ แต่มวยไท่จี๋ของเอว คว่า ขา กลับยังไม่ได้เริ่มเลย!

ท้ายที่สุดท่านยังกล่าวอย่างชัดแจ้งว่า “เรียนมวยต้องใช้แรงจม (เฉินจิ้ง) เป็นหลัก ไม่ใช่ตั้งใจผลักไปข้างหน้า” นี่คือท่านปฏิเสธการฝึกฝนโดยเคลื่อนคันธนู (กงปู้) ด้วยการถีบไปข้างหน้านั่นเอง

ในชีวิตนี้ ปัญหาที่สอบถามครูอาจารย์และมิตรสหายนั้น กล่าวได้ว่ามากมายปานขนวัว แต่มีแค่การถามนี้ที่ฉันพอใจที่สุด เนื่องจากพอถามออกไปแล้ว ก็ได้ “วิธีมวยใหม่” ขึ้นมา นี่แสดงว่าคนมากมายที่คิดเองและยืนกรานดื้อแพ่งไปในทางที่ผิดนั้น ล้วนแต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างชัดเจน นี่จึงเป็นการให้ความกระจ่างอยู่อย่าง คือจักต้องให้ความสำคัญต่อกฎเกณฑ์ของการเคลื่อนไหวในมวยไท่จี๋ คนที่ใช้สามัญสำนึกส่วนตัวและการมโนไปเรียนมวย ควรเปลี่ยนทางได้แล้ว

อาจารย์หลีหย่าเซวียนแค่กล่าวว่า “เรียนมวยต้องใช้แรงจมเป็นหลัก ไม่ใช่ตั้งใจผลักไปข้างหน้า” ก็เป็นการยกระดับคุณภาพของมวยไท่จี๋ เป็นการอุทิศสิ่งใหม่ นี่เป็นทั้งแนวคิดที่สร้างสรรค์ของท่าน และยังเป็นการปฏิรูปของท่าน เปรียบกับพวกที่เสียเวลาทั้งวันเพื่อคิดว่าจะไปตัดชุดรำให้สั้นลงยังไง นี่ย่อมรู้ได้เลยว่าห่างกันไกลอย่างเทียบไม่ได้

บทความหลักวิชามวยไท่จี๋ มวยไท่จี๋ตระกูลหยาง มวยไท่เก๊ก ไท่จี๋เฉวียน

เรื่องล่าสุด

  • คุณเจ
  • Sorayut Tao
  • ศัพท์มวยไท่จี๋ประจำวัน 13
  • รูปเก่าของ อาจารย์ฉือชิ่งเซิง
  • นิยามของ “ชี่” ในมวยไท่จี๋

ความเห็นล่าสุด

    คลังเก็บ

    • กันยายน 2022
    • สิงหาคม 2022
    • กุมภาพันธ์ 2022
    • สิงหาคม 2021
    • พฤษภาคม 2021
    • มกราคม 2020
    • สิงหาคม 2019
    • กรกฎาคม 2019
    • กันยายน 2018
    • พฤษภาคม 2018
    • มกราคม 2018
    • ตุลาคม 2017
    • กันยายน 2017
    • สิงหาคม 2017
    • กรกฎาคม 2017

    หมวดหมู่

    • Testimonials
    • Xiaochen's blog
    • ปากว้าจ่าง
    • วิทยายุทธ์อื่นๆ
    • สิงอี้เฉวียน-ซินอี้เฉวียน
    • เรื่องทั่วไปในวิทยายุทธ์
    • ไท่จี๋เฉวียน (มวยไท่เก๊ก)
    Footer logo
    บทความในเว็บนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ปี 2537
    • home
    • Xiaochen’s blog
    • gallery
    Search